วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การกำหนดอัตลักษณ์ “จิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” ของบัณฑิต

สวัสดีพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกท่านครับ

ครั้งก่อนผมทิ้งท้ายประเด็นจิตวิญญาณของบุคลากรสุขภาพที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ จึงอยากจะเสริมประเด็นนี้ต่อครับ หลังจากได้ไปเห็นการดำเนินงานของพี่น้องสาธารณสุขที่ขอนแก่นในการปลูกจิตสำนึกของนักศึกษาให้มองประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะเห็นว่าเป็นรากฐานสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคม



แม้ว่าเราจะมีนโยบายผลิตบุคลากรสุขภาพเพิ่มทุกปี โดยผ่านยุทธศาสตร์และโครงการต่างๆ ปัญหาบุคลากรขาดแคลนและกระจายไม่ครอบคลุมก็ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ พื้นที่ไหนขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข ก็ยังขาดแคลนอยู่เช่นนั้น
อันที่จริง สถานศึกษาของกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัย มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลิตบุคลากรสาธารณสุขที่มีความรู้ ทักษะชีวิต และเจตคติที่ดีมาช้านานแล้วนะครับ ทุกแห่งล้วนมุ่งหวังที่จะแทนที่คำว่า ‘resources’ ใน human resources ของระบบสุขภาพด้วยคำว่า ‘beings’
แต่ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเกิดขึ้นเพียงบางส่วน พี่น้องสาธารณสุขที่ขอนแก่นจึงคิดใหม่ให้ครอบคลุม ดังเช่นโครงการ พยาบาลชุมชน ที่โรงพยาบาลน้ำพองและโรงพยาบาลอุบลรัตน์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การสรรหาเด็กที่มีศักยภาพ ความตั้งใจ และทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ ร่วมกับคนในชุมชน วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีขอนแก่นและสถาบันเครือข่าย การจัดหลักสูตรที่ให้ทั้งความรู้ในวิชาชีพและทักษะชีวิต และการจัดโครงสร้างการทำงานและระบบนิเวศในชุมชนที่เอื้อต่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีความสุขตามอัตภาพ
การกำหนดอัตลักษณ์ จิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ของบัณฑิตที่ชัดเจนเช่นนี้มีความสำคัญครับ เพราะมันช่วยวางกรอบการคัดเลือกบัณฑิตที่สอดคล้องกับความต้องการ ช่วยพัฒนาหลักสูตรที่จะแปลงภาพบัณฑิตในอุดมคติออกมาเป็นรูปธรรม และช่วยสร้างกลไกในพื้นที่ให้บัณฑิตเหล่านี้ปฏิบัติงานได้ยาวนาน
การสร้างความเชื่อมั่นแก่พวกเขาในสวัสดิการและความก้าวหน้าทางวิชาชีพ จึงต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาจิตใจและการมีระบบเกื้อกูลฉันพี่น้อง กลไกการเงินมีความจำเป็นก็จริง แต่กลไกสำคัญต่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพคือการหล่อหลอมจิตใจพวกเขาให้ตระหนักในคุณค่าของวิชาชีพครับ
การกำหนดอัตลักษณ์ของบัณฑิตที่ชัดเจนข้างต้นยังช่วยวางกรอบการคัดเลือกผู้จะเป็นครูและการฝึกอบรมครูด้วย ครูไม่ได้สำคัญเพียงเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ที่ตอบสนองความต้องการของระบบสุขภาพเท่านั้น ครูที่ดียังต้องสร้างแรงบันดาลใจ ปลูกฝังอุดมคติ และสอนลูกศิษย์ให้ตระหนักในคุณค่าของวิชาชีพด้วย การเลือกคนดีมากกว่าคนเก่งมาเป็นอาจารย์จึงสำคัญไม่แพ้การเลือกคนดีมาเป็นบัณฑิต

การสอนนักศึกษาแพทย์ของสถาบันผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบทของศูนย์แพทย์ศึกษา โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ก็ยึดแนวทางนี้เช่นเดียวกันครับ เป็นที่น่ายินดีว่านักศึกษาแพทย์ถึงกว่าร้อยละ 80 ที่จบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ยังทำงานอยู่ในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง
อนึ่ง ในการวางนโยบายสาธารณสุข ผม และ รมช.ได้นำความมุ่งหวังตั้งใจของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่จะเห็นสังคมไทยในยุคปฏิรูปมีความมั่นคงมาเป็นกรอบพิจารณาครับ

ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เราเห็นพ้องว่าเราต้องเร่งคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้าเป็นอันดับแรก และวางรากฐานที่ยั่งยืนแก่ระบบสาธารณสุขไปพร้อมกัน
เราเห็นพ้องด้วยว่าปัญหาสาธารณสุขที่ประเทศเผชิญมาตลอดล้วนมีปัจจัยร่วมตัวเดียวกัน นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำ นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขจึงมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำเป็นสำคัญ

การจัดทีมหมอครอบครัวลงไปดูแลเชิงรุกถึงชุมชนอย่างเป็นองค์รวม เพื่อลดระยะห่างระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเสริมสร้างระบบสุขภาพของชุมชนให้เข้มแข็ง ถือเป็นนโยบายหนึ่งที่ลดความเหลื่อมล้ำของทุกกลุ่มวัยและกลุ่มประชากรในสังคมที่ชัดเจนครับ

แต่การทำงานของทีมหมอครอบครัวจะสำเร็จได้ต้องอาศัยพลังจากทุกวิชาชีพและภาคส่วนของสังคม ปัญหาสุขภาพมีปัจจัยกำหนดทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย และอยู่นอกขอบเขตของกระทรวงสาธารณสุข การขับเคลื่อนจึงต้องอาศัยกำลังคนและเม็ดเงินจากหลายภาคส่วน

ผมจึงชื่นใจที่เห็นแนวทางการผลิตบุคลากรสายสุขภาพที่สถานศึกษาหลายแห่งดำเนินการอยู่นี้มีความสอดคล้องกับทิศทางที่ประเทศของเรากำลังมุ่งไป อาทิ การจัดกิจกรรมให้นักศึกษาแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร สาธารณสุข ร่วมแก้ปัญหาชุมชน เพื่อฝึกการทำงานแบบ รวมมิตรไม่ใช่แบบขนมชั้น ฝึกการเชื่อมประสานกับภาคส่วนอื่นในชุมชนเพื่อสนธิพลังในการขับเคลื่อนงาน และฝึกการมองภาพเชิงระบบของงานสาธารณสุข
ทั้งหมดนี้จะทำให้พวกเขาไม่มืดแปดด้าน สับสน หรือใช้เวลาตั้งหลักอยู่นานเมื่อถึงคราวต้องลงสนามจริงครับ

หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยไม่เป็นสองรองใครเลยในเรื่องจำนวนและคุณภาพของสถาบันการศึกษาวิชาชีพสุขภาพ ทั้งนี้เพราะบูรพาจารย์และคนรุ่นก่อนได้วางรากฐานโครงสร้างการผลิตกำลังคนไว้ดียิ่ง
การศึกษาวิชาชีพด้านสุขภาพจึงเป็นบทบาทหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งยังเป็นโมเดลแก่ภูมิภาคอื่นของโลกด้วย

ในเมื่อเรามีต้นทุนและสินทรัพย์ล้ำค่าเช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราควรทำต่อไปจึงเป็นการเดินหน้าให้ต้นทุนเหล่านี้ผลิดอกออกผลเป็นบัณฑิตที่มีความรู้ มีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ เพื่อให้เมืองไทยเป็นสังคมที่สมบูรณ์พูนสุข ร่วมเย็น และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างยั่งยืน
เราก้าวล้ำนำหน้าหลายประเทศ ซึ่งมีสภาพเศรษฐกิจดีกว่า แต่ยังนำบริการสาธารณสุขลงไปไม่ถึงทุกครัวเรือน
เราเล็งเห็นความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมที่น่าอยู่มานานแล้ว อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นแกนนำเสนอต่อสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 66 ในปี พ.ศ. 2556 ให้ผ่านมติ ปฏิรูปการศึกษาวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อสนับสนุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (อีกนัยหนึ่งคือเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เท่าเทียม) อีกด้วย

เราจึงมาถูกทางแล้วครับ หากเราเดินตามแนวทางนี้ ประเทศไทยจะมีบัณฑิตจำนวนมากที่มีความรู้ มีอุดมการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจแก่อนุชนรุ่นหลัง
ดังเช่นพี่น้องสาธารณสุขที่ผมได้พบปะในหลายพื้นที่ ผู้มองการลดความเหลื่อมล้ำ การหยิบยื่นโอกาสแก่ผู้ที่ขาด การช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากในสังคมให้พ้นวัฏจักรความยากจน เป็นความสุข ความอิ่มเอมใจ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต

ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการทำงานครับ
 

 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เยี่ยมพี่น้องชาวสาธารณสุขในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดตาก

สวัสดีพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกท่านครับ
            ความจริงหนนี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องบริการสุขภาพปฐมภูมิและความจำเป็นของการมีทีมหมอประจำครอบครัว เพราะเป็นประเด็นที่วาบเข้ามาในความคิดทุกครั้งที่ได้ลงพื้นที่และเห็นปัญหา
            แต่การไปเยี่ยมพี่น้องชาวสาธารณสุขในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดตาก พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ผมเห็นประเด็นน่าสนใจหลายประเด็น จึงอยากแบ่งปันข้อสังเกตและข้อขบคิดจากการไปเยือนในครั้งนี้ก่อนครับ


ปัญหาสาธารณสุขที่พบในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีความ พิเศษสมชื่อจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะความพิเศษเชิงประชากรศาสตร์ คือ การมีสัดส่วนบุคคลไร้รัฐและไร้สัญชาติสูง จนทำให้ รพ.หลายแห่งมีสัดส่วนของผู้ป่วยต่างด้าวสูงกว่าคนไทย คนกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องสถานะและสิทธิครับ ส่วนใหญ่มาโรงพยาบาลเมื่อมีปัญหาร้ายแรงแล้ว อาทิ มาลาเรีย วัณโรคดื้อยาหลายขนาน ไข้รากสาดใหญ่ คอตีบ หัด โรคเรื้อน อหิวาตกโรค ซิฟิลิส และไข้กาฬหลังแอ่น เป็นต้น และความที่พวกเขาไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ การจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพให้โรงพยาบาลสำหรับดูแลพวกเขาจึงไม่เกิด โรงพยาบาลเลยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและประสบปัญหายาและเวชภัณฑ์ไม่เพียงพอ



ความพิเศษเชิงภูมิศาสตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา เป็นเขตอุทยาน มีป่าไม้หนาแน่น ก็สร้างความท้าทายต่อการตัดเส้นทางคมนาคมมาก เส้นทางคมนาคมที่มีอยู่ก็โค้งไปโค้งมาตามสภาพภูเขา การสัญจรจึงกินระยะเวลานาน
แต่ละอำเภอก็อยู่ห่างกัน การเดินทางระหว่างอำเภอใช้เวลากว่าครึ่งวัน ช่วงผมนั่งรถกว่า 1,000 โค้งทั้งขาไปและขากลับแม่สอด-อุ้มผาง ผมก็ตระหนักว่า รพช.ชายแดนเหล่านี้จำต้องมีความพร้อมสรรพและทำอะไรได้เบ็ดเสร็จในตัวจริงๆ เพราะการส่งต่อผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้ป่วยที่มีอาการขั้นวิกฤติคงเสียชีวิตก่อนที่จะส่งตัวมาถึงโรงพยาบาลแม่สอด
การเดินทางภายในอำเภอยังลำบากยิ่งกว่าอีกครับ ตอนผมนั่งรถ 4X4 ตะลุยเส้นทางสมบุกสมบันจาก รพ.สต.ไปสุขศาลาชายแดนไทย-เมียนมาร์ ผมก็นึกภาพออกเลยว่าช่วงหน้าฝน เส้นทางนี้คงวิบากไม่น้อย



แต่ภายใต้ข้อจำกัดของกำลังคนและทรัพยากร และความพิเศษของพื้นที่ พี่น้องชาวสาธารณสุขกลับไม่ท้อถอย แต่มีความตั้งใจและวิริยะอุตสาหะที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยมนุษยธรรม โดยคิดค้นกลยุทธ์น่าสนใจเพื่อบรรเทาเบาบางภาระและเสริมประสิทธิภาพการบริการ อาทิ
มีการเปิดสถานบริการพิเศษแถบชายแดน Malaria Post และ Health Post เพื่อคัดกรองโรค ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ พร้อมจัดหลักสูตรอบรมบุคลากรในท้องที่ให้ปฏิบัติงานแบบเข้าถึงชุมชน
มีการประกบคู่หมู่บ้านฝั่งไทยและเมียนมาร์ในลักษณะ buddy system เพื่อช่วยกันสอดส่องเฝ้าระวังโรคระหว่างเมืองชายแดน 
มีการสร้างความร่วมมือกับองค์กรเอกชนในพื้นที่ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขไทย-เมียนมาร์ เพื่อเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และสอบสวนโรคอย่างครอบคลุม
ผมขอชื่นชมจากใจจริงครับ ขณะเดียวกันก็เห็นใจมากกับข้อจำกัดหลายประการที่เป็นเหตุให้พี่น้องทำงานไม่ราบรื่น โดยเมื่อลองประมวลบริบทและสถานการณ์จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ผมก็เห็นประเด็นมากมายที่ล้วนพัวพันกันไปหมด



อันดับแรกผมเห็นความจำเป็นที่คนไร้รัฐเหล่านี้ต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานครับ
การทำเช่นนี้ยังให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายด้วย เพราะเมื่อพวกเขาได้รับบริการสาธารณสุขที่ดี พวกเขาก็จะน่ามีสุขอนามัยที่ดี และมีโอกาสเสี่ยงน้อยที่จะติดเชื้ออันตรายที่อาจจะแพร่สู่คนในสังคม จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศไทย ต่อการทำมาหากินของคนในประเทศ และต่อเศรษฐกิจของประเทศ เป็นลูกโซ่
ในสมการของการดูแลคนไร้รัฐนี้ เรายังมีปัจจัยของ AEC เข้ามาอีก

ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แสดงความปรารถนาที่จะเห็นไทยมีบทบาทผู้นำในหลายๆ ด้าน ผมก็มองว่าระบบบริการสุขภาพน่าจะเป็นจุดที่ไทยแสดงบทบาทผู้นำและผู้ให้ได้เป็นอย่างดี ทั้งในการสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของประเทศโดยทั่วไป และการยกระดับการสาธารณสุขชายแดนให้เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาวิจัย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยเน้นงานส่งเสริมและป้องกันเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี จากปัญหา รพ.ขาดสภาพคล่องที่มาพร้อมการดูแลคนไร้รัฐดังกล่าวข้างต้น ในช่วงค่ำของวันที่พวกเราพักที่อุ้มผาง ผมและทีมผู้บริหารจึงช่วยกันคิดหาทางออกให้พี่น้องแถบนี้และแถบชายแดนอื่นๆ ที่อาจประสบสถานการณ์คล้ายคลึงกัน เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการทำงานของพวกเขา
เรื่องการขาดสภาพคล่องนั้น ในเบื้องต้นเราคงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะพี่ใหญ่ช่วยน้องเล็กแบบที่เราทำกันมาช้านานนะครับ ดังเช่นกรณีของ รพ.อุ้มผาง โรงพยาบาลแม่สอดช่วยทางการเงิน โดยตัดหนี้ให้
แต่ในระยะกลางและระยะยาว เราคงต้องแก้ปัญหาเชิงระบบที่จะบรรเทาภาระของโรงพยาบาลและให้การดูแลคนไร้รัฐอย่างยั่งยืนครับ
อันดับแรกที่ควรทำเร่งด่วนก็คือการประสานกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อหาวิธีให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย อันหมายรวมถึงคนไร้รัฐด้วย ได้ขึ้นทะเบียนราษฎร์และมีเลขประจำตัว 13 หลัก
วิธีนี้จะทำให้พวกเขาได้สิทธิประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานครับ ขณะเดียวกันเม็ดเงินสำหรับดูแลคนเหล่านี้ก็จะตกไปถึง รพ.ที่เกี่ยวข้อง เราคงต้องศึกษาวิธีที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการมาแล้ว
เราคงต้องพยายามคิดนอกกรอบเพื่อหาวิธีจัดสรรงบประมาณสำหรับพื้นที่พิเศษเหล่านี้ เราคงต้องพิจารณาประสานกับภาคประชาสังคมในการระดมเงินทุนเพื่อจัดตั้งกองทุน และประสานกับกระทรวงต่างประเทศในการขอรับการสนับสนุนจากองค์กรการกุศลนานาชาติด้วยครับ



ก่อนจบ ผมขอทิ้งท้ายประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจหยิบการลงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมาเขียนก่อน นั่นก็คือ จิตวิญญาณของบุคลากรสาธารณสุขเหล่านี้ ในการทำงานให้สำเร็จโดยยึดหลักอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) และยึดมั่นในหลักพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ท่ามกลางสภาพภูมิศาสตร์และสาธารณูปโภคที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างเต็มพละกำลัง
พอได้เห็นบุคลากรเหล่านี้ทำงานด้วยหัวใจ ทั้งยังเลือกอยู่กับภารกิจนี้อย่างยาวนานโดยไม่ขอย้ายไปแห่งหนไหน ผมก็อยากค้นหาให้เจอนะครับว่า มีปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขามีเจตคติ ทัศนคติ และปรัชญาในการดำรงชีวิตเช่นนี้
ผมมีความเชื่อว่าความสุขของพวกเขาเกิดขึ้นจากการทำงานทุกวัน ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยชีวิต ช่วยให้เขาทุเลาความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวด ช่วยให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาสในชีวิตเพิ่มขึ้น
ความสุขดังกล่าวนี้คือเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้บุคลากรเหล่านี้มีพลังที่จะอุทิศให้แก่คนที่ด้อยโอกาสกว่าได้อย่างต่อเนื่องครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการทำงานครับ