สวัสดีพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกท่านครับ
ความจริงหนนี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องบริการสุขภาพปฐมภูมิและความจำเป็นของการมีทีมหมอประจำครอบครัว
เพราะเป็นประเด็นที่วาบเข้ามาในความคิดทุกครั้งที่ได้ลงพื้นที่และเห็นปัญหา
แต่การไปเยี่ยมพี่น้องชาวสาธารณสุขในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดตาก
พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทำให้ผมเห็นประเด็นน่าสนใจหลายประเด็น
จึงอยากแบ่งปันข้อสังเกตและข้อขบคิดจากการไปเยือนในครั้งนี้ก่อนครับ
ปัญหาสาธารณสุขที่พบในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีความ
‘พิเศษ’ สมชื่อจริงๆ
ครับ ไม่ว่าจะความพิเศษเชิงประชากรศาสตร์
คือ การมีสัดส่วนบุคคลไร้รัฐและไร้สัญชาติสูง จนทำให้ รพ.หลายแห่งมีสัดส่วนของผู้ป่วยต่างด้าวสูงกว่าคนไทย คนกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องสถานะและสิทธิครับ
ส่วนใหญ่มาโรงพยาบาลเมื่อมีปัญหาร้ายแรงแล้ว อาทิ มาลาเรีย
วัณโรคดื้อยาหลายขนาน ไข้รากสาดใหญ่ คอตีบ หัด โรคเรื้อน อหิวาตกโรค ซิฟิลิส
และไข้กาฬหลังแอ่น เป็นต้น และความที่พวกเขาไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์
การจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพให้โรงพยาบาลสำหรับดูแลพวกเขาจึงไม่เกิด โรงพยาบาลเลยต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและประสบปัญหายาและเวชภัณฑ์ไม่เพียงพอ
ความพิเศษเชิงภูมิศาสตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา
เป็นเขตอุทยาน มีป่าไม้หนาแน่น
ก็สร้างความท้าทายต่อการตัดเส้นทางคมนาคมมาก
เส้นทางคมนาคมที่มีอยู่ก็โค้งไปโค้งมาตามสภาพภูเขา การสัญจรจึงกินระยะเวลานาน
แต่ละอำเภอก็อยู่ห่างกัน การเดินทางระหว่างอำเภอใช้เวลากว่าครึ่งวัน ช่วงผมนั่งรถกว่า 1,000 โค้งทั้งขาไปและขากลับแม่สอด-อุ้มผาง
ผมก็ตระหนักว่า รพช.ชายแดนเหล่านี้จำต้องมีความพร้อมสรรพและทำอะไรได้เบ็ดเสร็จในตัวจริงๆ
เพราะการส่งต่อผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้ป่วยที่มีอาการขั้นวิกฤติคงเสียชีวิตก่อนที่จะส่งตัวมาถึงโรงพยาบาลแม่สอด
การเดินทางภายในอำเภอยังลำบากยิ่งกว่าอีกครับ ตอนผมนั่งรถ 4X4 ตะลุยเส้นทางสมบุกสมบันจาก
รพ.สต.ไปสุขศาลาชายแดนไทย-เมียนมาร์
ผมก็นึกภาพออกเลยว่าช่วงหน้าฝน เส้นทางนี้คงวิบากไม่น้อย
แต่ภายใต้ข้อจำกัดของกำลังคนและทรัพยากร
และความพิเศษของพื้นที่ พี่น้องชาวสาธารณสุขกลับไม่ท้อถอย แต่มีความตั้งใจและวิริยะอุตสาหะที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยมนุษยธรรม
โดยคิดค้นกลยุทธ์น่าสนใจเพื่อบรรเทาเบาบางภาระและเสริมประสิทธิภาพการบริการ อาทิ
มีการเปิดสถานบริการพิเศษแถบชายแดน Malaria Post และ Health Post เพื่อคัดกรองโรค
ป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ พร้อมจัดหลักสูตรอบรมบุคลากรในท้องที่ให้ปฏิบัติงานแบบเข้าถึงชุมชน
มีการประกบคู่หมู่บ้านฝั่งไทยและเมียนมาร์ในลักษณะ
buddy system เพื่อช่วยกันสอดส่องเฝ้าระวังโรคระหว่างเมืองชายแดน
มีการสร้างความร่วมมือกับองค์กรเอกชนในพื้นที่
และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขไทย-เมียนมาร์
เพื่อเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และสอบสวนโรคอย่างครอบคลุม
ผมขอชื่นชมจากใจจริงครับ ขณะเดียวกันก็เห็นใจมากกับข้อจำกัดหลายประการที่เป็นเหตุให้พี่น้องทำงานไม่ราบรื่น
โดยเมื่อลองประมวลบริบทและสถานการณ์จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ผมก็เห็นประเด็นมากมายที่ล้วนพัวพันกันไปหมด
อันดับแรกผมเห็นความจำเป็นที่คนไร้รัฐเหล่านี้ต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานครับ
การทำเช่นนี้ยังให้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายด้วย
เพราะเมื่อพวกเขาได้รับบริการสาธารณสุขที่ดี พวกเขาก็จะน่ามีสุขอนามัยที่ดี
และมีโอกาสเสี่ยงน้อยที่จะติดเชื้ออันตรายที่อาจจะแพร่สู่คนในสังคม
จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศไทย ต่อการทำมาหากินของคนในประเทศ
และต่อเศรษฐกิจของประเทศ เป็นลูกโซ่
ในสมการของการดูแลคนไร้รัฐนี้
เรายังมีปัจจัยของ AEC เข้ามาอีก
ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แสดงความปรารถนาที่จะเห็นไทยมีบทบาทผู้นำในหลายๆ
ด้าน ผมก็มองว่าระบบบริการสุขภาพน่าจะเป็นจุดที่ไทยแสดงบทบาทผู้นำและผู้ให้ได้เป็นอย่างดี ทั้งในการสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของประเทศโดยทั่วไป และการยกระดับการสาธารณสุขชายแดนให้เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ศึกษาวิจัย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยเน้นงานส่งเสริมและป้องกันเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี จากปัญหา รพ.ขาดสภาพคล่องที่มาพร้อมการดูแลคนไร้รัฐดังกล่าวข้างต้น
ในช่วงค่ำของวันที่พวกเราพักที่อุ้มผาง
ผมและทีมผู้บริหารจึงช่วยกันคิดหาทางออกให้พี่น้องแถบนี้และแถบชายแดนอื่นๆ
ที่อาจประสบสถานการณ์คล้ายคลึงกัน เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการทำงานของพวกเขา
เรื่องการขาดสภาพคล่องนั้น
ในเบื้องต้นเราคงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะพี่ใหญ่ช่วยน้องเล็กแบบที่เราทำกันมาช้านานนะครับ ดังเช่นกรณีของ รพ.อุ้มผาง โรงพยาบาลแม่สอดช่วยทางการเงิน โดยตัดหนี้ให้
แต่ในระยะกลางและระยะยาว
เราคงต้องแก้ปัญหาเชิงระบบที่จะบรรเทาภาระของโรงพยาบาลและให้การดูแลคนไร้รัฐอย่างยั่งยืนครับ
อันดับแรกที่ควรทำเร่งด่วนก็คือการประสานกับกระทรวงมหาดไทย
เพื่อหาวิธีให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย
อันหมายรวมถึงคนไร้รัฐด้วย ได้ขึ้นทะเบียนราษฎร์และมีเลขประจำตัว 13 หลัก
วิธีนี้จะทำให้พวกเขาได้สิทธิประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานครับ
ขณะเดียวกันเม็ดเงินสำหรับดูแลคนเหล่านี้ก็จะตกไปถึง รพ.ที่เกี่ยวข้อง เราคงต้องศึกษาวิธีที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการมาแล้ว
เราคงต้องพยายามคิดนอกกรอบเพื่อหาวิธีจัดสรรงบประมาณสำหรับพื้นที่พิเศษเหล่านี้ เราคงต้องพิจารณาประสานกับภาคประชาสังคมในการระดมเงินทุนเพื่อจัดตั้งกองทุน และประสานกับกระทรวงต่างประเทศในการขอรับการสนับสนุนจากองค์กรการกุศลนานาชาติด้วยครับ
ก่อนจบ ผมขอทิ้งท้ายประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจหยิบการลงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมาเขียนก่อน
นั่นก็คือ จิตวิญญาณของบุคลากรสาธารณสุขเหล่านี้
ในการทำงานให้สำเร็จโดยยึดหลักอิทธิบาท 4 (ฉันทะ
วิริยะ จิตตะ วิมังสา) และยึดมั่นในหลักพรหมวิหาร
4
(เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
ท่ามกลางสภาพภูมิศาสตร์และสาธารณูปโภคที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างเต็มพละกำลัง
พอได้เห็นบุคลากรเหล่านี้ทำงานด้วยหัวใจ
ทั้งยังเลือกอยู่กับภารกิจนี้อย่างยาวนานโดยไม่ขอย้ายไปแห่งหนไหน
ผมก็อยากค้นหาให้เจอนะครับว่า มีปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขามีเจตคติ ทัศนคติ
และปรัชญาในการดำรงชีวิตเช่นนี้
ผมมีความเชื่อว่าความสุขของพวกเขาเกิดขึ้นจากการทำงานทุกวัน
ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยชีวิต ช่วยให้เขาทุเลาความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวด
ช่วยให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีโอกาสในชีวิตเพิ่มขึ้น
ความสุขดังกล่าวนี้คือเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้บุคลากรเหล่านี้มีพลังที่จะอุทิศให้แก่คนที่ด้อยโอกาสกว่าได้อย่างต่อเนื่องครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการทำงานครับ