สวัสดีพี่น้องชาวสาธารณสุขทุกท่านครับ
จุดประสงค์ของการมี FCT
(Family Care Team) คือการสร้างกลไกสัมผัสชุมชน เพิ่มการเข้าถึงของคนในชุมชนต่อบริการสุขภาพและดูแลเบื้องต้นในทุกภาวะโรคอย่างต่อเนื่อง
เราโชคดีที่ในช่วงขวบปีแรกของการวางรากฐาน FCT ให้เป็นสะพานเชื่อมชุมชนสู่ระบบสุขภาพนั้น
เราไม่ต้องเริ่มจากศูนย์เพราะบริการปฐมภูมิของไทยได้วางรากฐานมาช้านาน
ทั้งยังมีลักษณะเด่นที่น่าชื่นชม คือ มีจิตอาสาเป็นกำลังสำคัญแต่เราก็อยากเริ่มแบบช้าๆ
ทว่ามั่นคง จึงเลือกให้ความสำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายที่ควรใส่ใจเป็นลำดับต้นก่อนครับนั่นคือกลุ่มผู้สูงอายุ
ดังที่ทราบกันดีครับว่าประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี
2548
แล้ว กล่าวคือ มีสัดส่วนผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปี) ต่อประชากรทั้งประเทศเกินร้อยละ
10 แต่ก็มีข้อน่ากังวล คือ อัตราการพึ่งพิงในวัยสูงอายุมีแนวโน้มสูงขึ้นส่วนใหญ่เรียนจบชั้นประถมศึกษา
อยู่ตามลำพัง และมีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน เข่าเสื่อม
พิการ และติดเตียง
ภารกิจเร่งด่วนจึงเป็นการจัดระบบดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงติดบ้าน
ติดเตียงโดยฝึกอบรมผู้จัดการดูแล ผู้ดูแล ร่วมกับจัด FCT
ออกตรวจเยี่ยมมุ่งหวังคุณภาพชีวิตที่ดีของทั้งผู้สูงอายุและญาติผู้ดูแล
แต่การเตรียมแค่นั้นคงไม่พอครับ เพราะจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดปี
2557
ที่พบสัดส่วนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเกือบร้อยละ
15 และคาดว่าอีก 10 ปีจะเพิ่มเป็นร้อยละ
20 ซึ่งตามนิยามของสหประชาชาติถือเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
เราคงต้องเตรียมความพร้อมมากกว่านี้
สมัยก่อนคนตะวันตกก็นิยมเลี้ยงดูคนเฒ่าคนแก่เอง
แบบเดียวกับบ้านเราเมื่อไม่นานนี้ ตราบจนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่างคนต่างต้องออกไปทำมาหากิน
วิถีดังกล่าวจึงเปลี่ยนไปในช่วงเวลานี้ที่ดัชนีผู้สูงอายุไทยสูงขึ้นทุกปี กล่าวคือ
มีผู้สูงอายุมากกว่าเด็ก การดำเนินวิถีชีวิตในสังคมไทยจึงมีแนวโน้มค่อนไปทางสังคมตะวันตกมากขึ้น
การดูแลโดยครอบครัวคงไม่ใช่รูปแบบเดียว แต่ต้องมีการดูแลโดยสถาบันและชุมชนเข้ามามีบทบาทสำคัญ
กระนั้น เมื่อเหลียวมองรอบตัวขณะนี้เราจะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้สร้าง
หรือวางแผน โดยมีผู้สูงอายุในวิสัยทัศน์เท่าที่ควรการศึกษาปัจจุบันก็มุ่งสอนทักษะสำหรับคนวัยทำงาน
สวนสาธารณะในเมืองก็มีน้อยกว่าตึกระฟ้าถนนหนทางก็ไม่อำนวยความสะดวกต่อผู้ที่จะผละจากการขับรถมาเดินเท้า
ระบบขนส่งมวลชนก็ยังไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง
การจัดระบบดูแลผู้สูงอายุที่ครบถ้วนรอบด้าน
เพื่อให้ผู้สูงอายุในปัจจุบันและอนาคตมีสุขภาพกาย-ใจที่ดี ประกอบกิจการงานที่ยังประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น มีความมั่นคงในชีวิตจึงต้องรีบลงมือแต่บัดนี้
และไม่อาจทำสำเร็จโดยกระทรวงสาธารณสุขเพียงลำพังด้วยครับแต่ต้องอาศัยการผนึกกำลังของหลายองค์กรทีเดียว
จึงเป็นที่มาของการที่กระทรวงสาธารณสุข
ศึกษาธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มหาดไทย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และแรงงานจับมือร่วมกันในโครงการ ‘รัฐ-ราษฎร์ร่วมใจ ห่วงใยผู้สูงอายุ’นำร่องพัฒนารูปแบบในพื้นที่
155
ตำบลใน 76 จังหวัด
ก่อนขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ผมเชื่อว่าภาพที่หลายคนพึงปรารถนาคงไม่ใช่ภาพผู้สูงอายุที่สุขภาพย่ำแย่
ประกอบกิจวัตรลำบากเอาแต่นั่งเฉย นอนเฉย ปล่อยให้เวลาล่วงเลย แต่เป็นภาพผู้สูงอายุที่ยังทำงานประจำ
หรืองานอดิเรกที่ตัวเองรัก หยิบจับกิจกรรมที่อยากทำแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทำขณะที่ยังอยู่ในวัยทำงาน
เราอยากเห็นผู้สูงอายุที่สมองยังฉับไว
กระฉับกระเฉง กำลังวังชายังปราดเปรียว มีเงินหล่อเลี้ยงกายใจตามอัตภาพ ผลิตงานเล็กงานใหญ่สู่สังคม
ผู้สูงอายุหลายคนมีทุนสังคมทุนปัญญามหาศาล
พวกเขามีส่วนสำคัญในการชี้แนะ สร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลังได้ไม่น้อย
คงน่าเสียดายที่เราจะละเลยทุนมีค่านี้ให้ฝ่อลีบไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น